Error message

  • Deprecated function: Methods with the same name as their class will not be constructors in a future version of PHP; views_display has a deprecated constructor in require_once() (line 3066 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/bootstrap.inc).
  • Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

สังฆะกับการดูแลผู้ป่วย

-A +A

           คอลัมน์สังฆะกับการดูแลผู้ป่วยในอาทิตย์อัสดงฉบับนี้เป็นคอลัมน์ใหม่  เนื่องจากขณะนี้เครือข่ายพุทธิกากำลังดำเนินโครงการ "ส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์ โรงพยาบาล และชุมชนในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้ายอย่างมีส่วนร่วม" เพื่อส่งเสริมให้เกิดทีมดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและผู้ป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลหรือชุมชน  ทีมดูแลประกอบด้วย พระสงฆ์ พยาบาล และจิตอาสาในชุมชน  เพื่อดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา  โครงการนี้จะดำเนินงานระยะเวลา 2 ปี มีโรงพยาบาลนำร่องเข้าร่วมโครงการ 14 แห่ง  มีเป้าหมายคือการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและผู้ป่วยเรื้อรัง  ค้นหาบทเรียนว่าอะไรคือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดระบบการดูแลผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ  เพื่อที่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้คนในสังคมมีโอกาสเข้าถึงการตายดีได้มากขึ้น

           ชื่อโครงการยาวเกินไปที่จะเรียกชื่อเต็ม  และถ้าจะเรียกชื่อเล่นว่า "โครงการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์ฯ" ก็ดูจะละเลยโรงพยาบาลและจิตอาสาซึ่งเป็นหุ้นส่วนสำคัญไป  จึงชวนกันคิดชื่อเล่นโครงการนี้ว่า "สังฆะกับการดูแลผู้ป่วย" อาทิตย์อัสดงฉบับนี้ขออนุญาตขยายความคำว่า "สังฆะ" ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายและเป็นหลักการสำคัญของโครงการ

           สังฆะ ในทัศนะของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ มีความหมาย 3 ระดับ  ได้แก่  สังฆะระดับที่เป็นคณะพระสงฆ์ไทย ระดับถัดมาคือ สังฆะที่เป็นอุดมการณ์ เป็นวิถีของพระสงฆ์  คือ "อยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง"  และระดับที่กว้างที่สุดคือ  สังฆะ ที่เป็นวิถีแห่งความเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอันเป็นวิถีปกติธรรมชาติของสรรพสิ่งในสากลจักรวาล  "สังฆะ" ในชื่อคอลัมน์ "สังฆะกับการดูแลผู้ป่วย" ก็มีความหมายที่สอดคล้องกับสังฆะในทัศนะของอาจารย์พุทธทาสเช่นเดียวกัน ดังนี้

           ประการที่หนึ่ง สังฆะ คือ พระสงฆ์ หรือนักบวชในศาสนาต่างๆ  ที่เป็นผู้นำ และผู้ช่วยเหลือด้านจิตใจ หรือจิตวิญญาณ  เมื่อผู้คนประสบกับภาวะวิกฤติของชีวิต  โดยยามเจ็บป่วยหลือใกล้ตาย  พระสงฆ์สามารถช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้บำเพ็ญกุศล ให้กำลังใจ มีภาพประทับที่ดีในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต  พระสงฆ์ยังอาจชี้ให้ผู้ป่วยเห็นสัจธรรมของชีวิตจนเกิดปัญญาที่จะสามารถปล่อยวางความเจ็บป่วย ทรัพย์สิน การงาน ญาติมิตร ตัวตน อันนำไปสู่การตายดีในที่สุด  อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือด้านจิตใจของผู้ป่วยไม่ได้จำกัดเพียงพระสงฆ์เท่านั้น  ทุกคนสามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านจิตใจ หรือจิตวิญญาณของผู้ป่วยได้เช่นกันถ้ามีจิตใจเมตตา กรุณา มีทัศนคติและทักษะเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและการตายที่ถูกต้อง

           ประการที่สอง สังฆะ  คือ อุดมการณ์ที่จะทำบทบาทหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ป่วย  ซึ่งไม่ได้มาจากการถูกบังคับให้แสดงบทบาทตามที่เขียนไว้ในเอกสารจริยธรรมวิชาชีพเท่านั้น  แต่มาจากหน้าที่ที่ตนยินดี สมัครใจทำเพราะเห็นคุณค่าในงานที่ทำ  งานนั้นได้เติมเต็มความสุขและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  ในการนี้พระสงฆ์สามารถใช้ความรู้ด้านศาสนาในการเยียวยาดูแลจิตใจ  เป็นเนื้อนาบุญให้ผู้ป่วยได้บำเพ็ญกุศล  ขณะที่บุคลากรโรงพยาบาลสามารถดูแลด้านร่างกายอย่างปราณีตให้ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดทุกข์ทรมานจนเกินไป  จิตอาสาในชุมชนสามารถใช้ต้นทุนความสัมพันธ์ ความรู้เกี่ยวกับบริบทสังคมวัฒนธรรมในการดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลด้านสังคม จิตใจ  และสามารถปิดช่องว่างของบุคลากรโรงพยาบาลที่มักจะมีงานล้นมือได้เป็นอย่างดี

           ประการที่สาม สังฆะ คือ การพึ่งพา เกื้อกูลซึ่งกันและกันของผู้คน หน่วยงาน ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมเพื่อดูแลผู้ป่วย  สังฆะในความหมายนี้คือสภาวะแห่งความเป็นชุมชนร่วมกัน  และไม่สามารถแยกได้อย่างชัดเจนว่า นี่คือพระ นั่นคือจิตอาสา โน้นคือพยาบาลหรือผู้ป่วย  เพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมชุมชนแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  ผู้ดูแลได้เกื้อกูลผู้ป่วยด้วยการเยียวยาร่างกายและจิตใจ  ผู้ป่วยก็เยียวยาผู้ดูแลด้วยการเปิดเผยให้ผู้ดูแลได้เห็นความจริงแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างถ่องแท้  สังฆะในระดับนี้จึงไม่ได้ต้องการเพียงแค่ทีมดูแลผู้ป่วยที่ประกอบด้วยพระสองรูป พยาบาลสองคน จิตอาสาสามคน  ที่ดูแลผู้ป่วยห้าคนในตำบลหนึ่ง  แต่ต้องการบุคลากรทั้งองคาพยพที่จะเกื้อกูลผู้ป่วยด้วยการดูแลร่างกาย จิตใจ สังคม ปัญญา  อันเป็นวิถีที่สอดคล้องกับการเกื้อกูลตามธรรมชาติในสากลจักรวาล

           การดูแลผู้ป่วยไม่สามารถแยกส่วนอย่างโดดเดี่ยว  บุคลากรของโรงพยาบาลประสบวิกฤติในการดูแลสุขภาพ  ประสบกับความเครียดและความกดดันในทุกทิศทุกทาง  ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง  พระสงฆ์ถูกสังคมคาดหวังให้ทำงานตอบโจทย์ของสังคมมากขึ้นนอกเหนือไปจากการทำพิธีกรรมทางศาสนาและใช้ทุนทางสังคมที่มีอยู่มากมายให้เกิดประโยชน์  ผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ในชุมชนแต่ไม่ได้พบกับจิตอาสาที่มีศักยภาพ มีความเข้าใจสังคมวัฒนธรรมและความสัมพันธ์เป็นทุนเดิม  ดังนั้น การสร้างโอกาสและพื้นที่ในการทำงานร่วมกันในการดูแลผู้ป่วยระหว่างวิชาชีพด้านสุขภาพ ผู้นำทางศาสนา และคนในชุมชน  จึงเป็นความพยายามหนึ่งที่จะหาทางออกจากวิกฤติการดูแลสุขภาพที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น

           การเอื้ออำนวยให้เกิดระบบสังฆะในการดูแลผู้ป่วยยังมีเรื่องท้าทาย  เนื่องจาก พระ พยาบาล จิตอาสาในชุมชน ต่างก็มีชุดความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมเป็นของตนเอง  การจัดกระบวนการเรียนรู้และระบบดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายยังต้องฝ่าฟันก้าวข้ามอุปสรรคทั้งที่เป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละคน  ความสัมพันธ์ระหว่างทีมดูแลผู้ป่วย  ตลอดจนระบบโครงสร้างขององค์กรพระสงฆ์ โรงพยาบาล และชุมชน  แต่ด้วยงานดูแลผู้ป่วยเป็นงานที่มีคุณค่าในตัวเอง การได้ช่วยเหลือเยียวยาความทุกข์ของผู้คนย่อมจะสร้างความสุขแก่คนทีมดูแลผู้ป่วย  เป็นพลัง แรงบันดาลใจ และกำลังใจในการทำงานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและผู้ป่วยเรื้อรังอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ที่มา: