Error message

Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

บทเรียนการตายของยายฉัน

-A +A

         เมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ฉันกำลังอยู่ในการอบรมที่ต่างจังหวัด แม่โทรศัพท์มาบอกว่า ยายป่วย กำลังรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ฉันถามกลับในทันทีว่า “ยายเป็นอะไรนะแม่” เพราะเมื่อวานยังไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของยายและแม่อยู่ดีๆ รู้แต่ว่าช่วงนี้ยายไม่ค่อยสบาย แม่เล่าให้ฟังว่า หมอวินิจฉัยว่าปอดยายติดเชื้อและลามไปกระแสเลือด ฉันตกใจมาก ตัดสินใจว่าจะกลับบ้านในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เพราะตอนนั้นสองทุ่มกว่าแล้ว รถโดยสารกลับสัตหีบคงหมดแล้วแน่นอน ในใจลึกๆ ไม่แน่ใจนักว่าจะไปทันดูใจยายไหม รู้สึกกังวลมาก ประโยคหนึ่งที่พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มักพูดจนจำติดหูผุดขึ้นมาในความคิด “พรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่รู้อะไรจะถึงก่อนกัน” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

         ยายไม่ทานข้าวมาประมาณ ๑ อาทิตย์แล้ว เพราะข้าวไม่ย่อย ทานแต่โจ๊ก กับอาหารเหลวๆ แม่จะหยอดน้ำหวาน อาหารบำรุง หรือน้ำอุ่น ยายมีอาการไอบ้างบางครั้ง จนวันที่แม่ต้องออกไปทำงานในตัวเมืองชลบุรี หลังจากตื่นมาทำกับข้าว เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า และห่มผ้าให้ยายแล้ว แม่ไปลายายเหมือนทุกเช้า ยายลูบหัวแล้วยิ้มบอกแม่ว่า ไปดีมาดีนะลูก แม่ฝากเพื่อนสนิทข้างบ้านกับน้องสาวฉันให้คอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนยาย 

         ตอนบ่ายกว่าๆ ยายเริ่มมีไข้ มือแข็ง ไม่ขยับตัว และปัสสาวะราด เริ่มไม่รู้สึกตัว แม่โทรศัพท์ถามอาการของยายจากป้าข้างบ้าน พอป้าบอกว่าอาการไม่ดีน่าจะไปหาหมอ แม่ติดต่อให้ญาติเอารถมารับแล้วรีบกลับมาบ้าน แต่โดยไม่คาดคิด เจ้านายของน้องสาวเรียกไปเอาเอกสารกะทันหัน น้องจึงฝากยายไว้กับป้า และป้าก็ถูกแม่ของญาติคนที่จะมารับยายเรียกไปทำงานบางอย่าง ป้าจึงรีบไปบอกว่ายายป่วย คงไปช่วยงานไม่ได้ แต่เป็นช่วงเดียวกับที่ญาติคนนั้นออกมารับยาย เลยสวนทางกัน พอญาติมาพบว่ายายอยู่บ้านตามลำพัง เลยโกรธแม่มาก คิดว่าแม่ทิ้งยาย ญาติรีบพายายไปหาหมอ และมึนตึงไม่พูดกับแม่ ทำให้แม่รู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด และน้อยใจที่เขามาตัดสินจากสถานการณ์เดียวที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งที่ได้พยายามระมัดระวังแล้ว 

         ประมาณสองทุ่มกว่า หมอเริ่มบอกให้แม่ทำใจและกลับบ้านไปก่อน เพราะต้องรอดูอาการ แต่ยังไม่ทันจะเข้าบ้าน หมอโทรศัพท์มาบอกว่า ยายหัวใจหยุดเต้นไป หมอต้องปั้มหัวใจให้ทันที แม่และน้าจึงกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่ออยู่กับยายเป็นครั้งสุดท้าย 

         ฉันเพิ่งรู้ข่าวยายตอนทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม ตอนนั้นยายยังไม่ทรุดมาก แต่พอมารู้อีกครั้งตอนสองทุ่มครึ่ง ทำเอาตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน แวบหนึ่งรู้สึกผิดว่าเราอาจไม่ทันดูใจสั่งลายายก่อนตาย แต่ก็รู้ว่ามันมีเหตุปัจจัย คนเรามีหน้าที่ต่างกัน ถึงเราอยู่ก็ช่วยได้บางอย่าง เราไม่อยู่ก็ช่วยได้บางอย่างเหมือนกัน กลั้นใจว่า จะทำให้ดีที่สุด จะไม่ให้ช่วงเวลาที่สำคัญของยายสูญเปล่า ฉันนึกถึงหลักปฏิบัติต่างๆ ที่จะสามารถช่วยยายให้จากไปอย่างสงบได้ จากที่เคยเรียนรู้ผ่านการอบรม “เผชิญความตายอย่างสงบ” มาหลายหน ตอนนี้เป็นการสอบในชีวิตจริงแล้ว แต่โจทย์นี้ยาก เพราะมันไม่ใช่บทบาทสมมติที่ลองใหม่ได้ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่เป็นครอบครัวเราตัวเราชีวิตเรา เดิมพันอยู่ที่การตายอย่างสงบของยาย และการคลี่คลายความรู้สึกผิดติดค้างของแม่และตัวฉันเองด้วย

 

น้อมนำรำลึกถึงสิ่งดีๆ ที่ยายเคยทำ

แม่หวั่นไหวมากขึ้นเพราะความดันของยายเริ่มลดลงเรื่อยๆ ไม่คงที่ แม่ถามฉันว่า จะทำยังไงดี (แม่ร้องไห้) แม่ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ที่จริงแล้วฉันก็หวั่นไหวเหมือนกัน แต่ก็บอกให้แม่ใจเย็นๆ ทำใจให้เป็นปกติ ถึงแม้ยายจะไม่เห็นด้วยตา แต่ยายสัมผัสและรับรู้สิ่งที่เราต้องการจะสื่อได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำให้ยายได้ คืออยู่เป็นเพื่อนและน้อมนำให้ยายจากไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์กังวล ฉันขอให้แม่กับน้องพูดถึงสิ่งดีๆ หรือเรื่องราวที่ยายเคยทำดีในชีวิตให้ยายฟัง ฉันพูดถึงความประทับใจและเรื่องดีๆ ที่ยายเคยไปใส่บาตร ทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ผ่านทางโทรศัพท์ให้ยายฟังก่อน แม่พูดต่อว่า ยายชอบตื่นแต่เช้าทำบุญใส่บาตรทุกวันไม่ได้ขาด มีน้ำใจส่งเสียช่วยเหลือญาติ ดูแลแม่และหลานๆ อย่างดี พูดถึงเรื่องราวประทับใจเกี่ยวกับยาย สิ่งที่ยายทำแล้วภูมิใจหรือชอบทำบ่อยๆ น้องสาวก็พูดถึงความรักและความห่วงใยที่ยายคอยตักเตือนสั่งสอนมาเสมอ ช่วงนี้ความดันและอัตราการเต้นหัวใจของยายเริ่มต่ำลง แต่สม่ำเสมอกว่าที่ผ่านมา

 

คลี่คลายสิ่งที่ติดค้างในใจ

         สัปดาห์ก่อนหน้า แม่และยายได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างเปิดอก ขออโหสิความรู้สึกที่ติดค้างกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันจึงให้แม่พูดกับยายอีก แม่และน้องไม่ร้องไห้แล้ว ฉันถามแม่ว่า แม่มีอะไรติดค้างใจกับยายไหม เพราะว่าแม่กับยายอยู่ด้วยกันมากว่าห้าสิบปี คงจะมีเรื่องติดค้างหรือล่วงเกินกันบ้าง ฉันให้แม่พูดกับยายตามที่รู้สึก แม่พูดว่า ปุ้มรู้สึกผิดมากนะแม่ ปุ้มขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับแม่ในช่วงที่ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลพอดี แต่ปุ้มไม่เคยทอดทิ้งแม่เลยนะ ปุ้มรักและอยากดูแลแม่ตลอด แต่สถานการณ์นั้น ปุ้มไม่รู้และควบคุมไม่ได้จริงๆ ปุ้มขอโทษนะแม่ ที่เราสองคนได้คุยกันวันนั้นและทุกอย่างที่ผ่านมา ถ้ามีอะไรที่ลูกล่วงเกินแม่ไป ทำให้แม่ขุ่นข้องเคืองใจ ขอให้แม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย ในส่วนของลูก ลูกไม่ถือสาหาความอะไร ลูกขออโหสิแม่เช่นกัน จากนั้นฉันก็ให้น้องพูดกับยายในทำนองเดียวกัน 

 

ช่วยให้ปล่อยวางความทุกข์กังวลใจ และกล่าวคำอำลา

         หลังจากนั้น จึงขอให้ยายคลายความกังวลใจทั้งหลายไป ถ้ากังวลเรื่องคนข้างหลัง ลูกๆ หลานๆ ก็เรียนจบมีงานทำแล้วทุกคน หาเลี้ยงตัวได้ ยายไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ มันเจ็บมันปวดก็อยู่กับมัน แต่ขอให้ใจไม่ทุกข์ตามมัน ถ้าสังขารมันอยู่ต่อไม่ไหว ขอให้ยายปล่อยวางมันลง ขอให้ยายมั่นใจในความดีที่เคยทำ ว่าจะนำยายไปสู่ที่ที่ดี มั่นใจว่าหนทางข้างหน้าจะมีคุณตารออยู่ ถึงตรงนี้แม่บอกว่าความดันเลือดและหัวใจของยายเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ ฉันจึงขอให้แม่และญาติพี่น้องกล่าวคำอำลากับยายก่อนทีละคน แล้วฉันจึงบอกลายาย ขอให้ยายไปยังที่ที่ทำให้มีความสุข 

         พวกเราทุกคนสวดอิติปิโสให้ยาย ฉันให้แม่เปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ยายได้ยินเสียงสวดมนต์ของฉันด้วย เราสวดมนต์ไม่ถึงสิบจบ ประมาณสิบกว่านาที แล้วฉันจึงได้ยินเสียงติ๊ดยาว แม่บอกด้วยเสียงนิ่งว่า ยายไปแล้วลูก ฉันบอกแม่ว่า ขอให้พวกเราสวดมนต์ต่อไปอีกสักครู่ ก่อนจะภาวนาร่วมกันให้ยายไปสู่สุคติ ยายเสียชีวิตตอนสี่ทุ่มครึ่ง คำสุดท้ายที่ฉันพูดกับยายคือ “ยายจ๋า หนูขอให้ยายไปดีนะ”

ฉันขอให้แม่ยังไม่เคลื่อนย้ายศพ ให้รอนานที่สุดเท่าที่โรงพยาบาลจะอนุญาตได้ ประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง แล้วคุยกันเรื่องพิธีกรรมและความรู้สึกของทุกคน แม่บอกกับฉันด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า แม่ได้ทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว ยายไปสบายแล้ว การตายอย่างสงบของยายช่วยเยียวยาแม่และคลี่คลายความรู้สึกผิดและโศกเศร้าด้วย ส่วนน้องสาวฉันก็ทำใจยอมรับได้มากขึ้น พอตอนเช้าฉันรีบเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้ายาย ก่อนย้ายศพไปทำพิธีกรรมที่วัด 

 

บทเรียนชีวิต

         ถ้าถามว่าตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไร คงหาคำตอบไม่ได้ มันใจหาย แต่มีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพื่ออะไร หลังจากงานศพยายผ่านไป ทำให้ฉันมองชีวิตกับความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ใกล้มากเหลือเกินจนหาเส้นแบ่งได้ยาก ที่เคยเข้าใจว่าชีวิตไม่แน่นอน มันซึ้งมากกว่าที่เคยเข้าใจ ทำให้เรากลับมามองใหม่ว่าชีวิตมีคุณค่ามีความหมายในทุกวันทุกนาที ที่เราเคยทดลองเตรียมตัวตายมาบ้าง มันน้อยมากเมื่อเทียบกับข้อสอบที่เราจะต้องทำเมื่อถึงเวลาจริง 

         ทุกครั้งที่ฉันจากมาทำงานที่กรุงเทพฯ ฉันจะกราบเท้ายายและขอพรยาย อวยพรให้ยายสุขภาพดี ใครจะรู้ว่าการกราบยายครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วคุณค่าความหมายและสิ่งที่ทุ่มเทหมกมุ่นอยู่ในตอนนี้ มันคืออะไร เพื่ออะไร มันมีพลังบางอย่างกระตุ้นเตือนให้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตให้ดีงาม มีคุณค่าและมีความสุขอย่างแท้จริงมากขึ้น กลับมามองกระจกทุกเช้า เห็นความแก่และความตายของตัวเองทุกวัน ขวนขวายทำสิ่งจำเป็นที่เคยผลัดผ่อนและเกียจคร้านมากขึ้น (แต่ยังไม่ทั้งหมดนะ) ได้สัมผัสถึงหัวใจของตัวเองว่าค่อยๆ อ่อนโยนลง การตายช่วยให้เห็นและสัมผัสความทุกข์ของตัวเอง คนอื่น และสิ่งอื่นได้เพิ่มขึ้น หรือน่าจะเรียกได้ว่าหัวใจเราเปิดแง้มขึ้นมาบ้างแล้ว คิดต่อไปว่าอยากจะดูแลแม่และครอบครัวมากขึ้น ถ้าโกรธเคืองใครก็ขอให้รู้ตัวเร็วๆ เพราะรู้ว่าเราก็อยู่ด้วยกันชั่วคราว ใช้ชีวิตเรียบง่าย สร้างสรรค์ และมีความสุขกับตัวเองและคนอื่น

         เรื่องสมาธิก็รู้ว่าดี ฝึกไว้ไม่เสียหาย แต่ความขี้เกียจและข้ออ้างต่างๆ ในชีวิตทำให้ไม่ค่อยมีวินัยกับการฝึกมากนัก สัปดาห์หนึ่งทำได้สักสามวันก็เก่งแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ช่วยย้ำให้เห็นว่าการฝึกจิต ฝึกความรู้ตัวและสมาธิมีความสำคัญมาก ต้องฝึกให้คุ้นเคยจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เพราะทั้งหมดทั้งมวลเมื่อเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ถ้าไม่สามารถดำรงสติได้ ต่อให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมากแค่ไหนก็หยิบมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย 

         การจากไปของยาย ถ้าเป็นการสอบไม่รู้ว่าจะได้คะแนนแค่ไหน แต่เท่าที่วัดจากความรู้สึกแล้วเชื่อว่าคงพอกล้อมแกล้มผ่านไปได้หวุดหวิด แต่ที่สำคัญกว่าคือ เมื่อถึงการสอบของเราบ้าง เราจะผ่านไปได้งดงามมากน้อยแค่ไหน 

คอลัมน์:

บุคคลสำคัญ: