Error message

  • Deprecated function: Methods with the same name as their class will not be constructors in a future version of PHP; views_display has a deprecated constructor in require_once() (line 3066 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/bootstrap.inc).
  • Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

เมื่อพระจอมเกล้าฯ สวรรคต : การเตรียมตัวตายอย่างสงบแบบไทยๆ

-A +A

           เรียกว่า เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด จริงๆ สำหรับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหว สึนามิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดการระเบิด กัมมันตภาพรังสีรั่วไหล แต่หายนภัยใหญ่หลวงที่เกิดจากธรรมชาติและจากน้ำมือของมนุษย์เองในครั้งนี้ น่าจะช่วยทำให้พวกเราเกิดอนุสติ หันมาพิจารณาวิถีการดำเนินชีวิตของตนเองในปัจจุบัน ว่ายังดำรงอยู่ด้วยประมาทหรือไม่เพียงใด จะมีอะไรดีไปกว่าการเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของชีวิต โดยเราอาจเรียนรู้ได้ทั้งจากบุคลหรือเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะยากดีมาจน เป็นคนสามัญหรือเจ้าพระยาพระมหากษัตริย์ 

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งสยามประเทศ ทรงเป็นแบบอย่างอันน่าพิจารณา ถึงทัศนคติและท่าทีต่อการเตรียมตัวเผชิญความตายของคนไทยในอดีต ก่อนที่ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่จะเข้าเป็นแทนที่ในระยะเวลาต่อมา

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต นับจากเมื่อเริ่มมีพระประชวรหนักเพียงหนึ่งเดือนเศษ หลังเสด็จฯ กลับจากการทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ ได้ห้าวัน โดยทรงมีพระอาการไข้ จับสั่น เหงื่อออก กระหายน้ำ และเบื่ออาหาร (สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวทรงประชวนด้วยไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย) หมอหลวงถวายพระโอสถมาหลายวันแล้ว แต่พระอาการมีแต่กำเริบยิ่งขึ้น กระทั่งถ่ายออกมาเป็นเลือด ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า 

           “พระโรคมากอยู่แล้ว ถ้าเห็นอาการเหลือมือ เหลือกำลังปัญญาแพทย์ ก็ให้กราบบังคมทูลแต่โดยจริง อย่าได้ปิดบังไว้ ก็จะได้ทรงทอดพระธุระเสียว่ารักษาไม่หายแล้ว” 

 

การปกปิดพระอาการ

           เมื่อทรงทราบว่าโรคหนักเกินกว่าจะเยียวยาให้หายได้เสียแล้ว พระองค์ตรัสว่าไม่ต้องการให้หมอหลวงปกปิดอาการต่อพระองค์ แต่พระราชประสงค์ดังกล่าวมิได้รับการตอบสนองเพราะความเป็นห่วงของพระประยูรญาติและข้าราชการผู้ใหญ่ในขณะนั้น 

           การปกปิดคนไข้ไม่ให้ทราบว่าตนเองเป็นโรคร้าย หรือปกปิดคนใกล้ชิดไม่ให้ทราบเรื่องดังกล่าว ด้วยความเป็นห่วงของญาติ ผู้ใกล้ชิด และบุคลากรสุขภาพ เพราะกลัวว่าจะทำให้อาการทรุดหนักจากผลกระทบทางจิตใจ เป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน แต่จากการศึกษาคนไข้โรคมะเร็งทั้งในและต่างประเทศ พบตรงกันว่า การปกปิดความจริงเป็นความกังวลไปเองของผู้เกี่ยวข้องมากกว่า การวิตกสงสัยว่าตนเองเป็นโรคร้ายและกำลังจะเสียชีวิตโดยไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ เป็นความทุกข์ไม่ต่างจากการรับรู้ว่าตนเองกำลังเผชิญกับสิ่งนั้น การรับรู้ความจริงจะช่วยให้คนไข้และครอบครัวได้มีโอกาสตระเตรียม จัดการกิจธุระต่างๆ ตามความประสงค์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ดูแลสภาพจิตใจของกันและกันอย่างเปิดเผย เพียงแต่การบอกความจริงควรต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง

           จนเมื่อถึงวันสวรรคต พระองค์ได้ทรงตระเตรียมสิ่งต่างๆ ในวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างน่าเรียนรู้

 

ตระเตรียมเรื่องส่วนพระองค์และการแผ่นดินอย่างรอบคอบ 

           ในช่วงเช้าของวันสวรรคต พระองค์ทรงแสดงพระราชประสงค์เกี่ยวกับการจัดการสรีระอย่างละเอียด โดยระบุว่า สิ่งใดเมื่อครั้งทรงพระชนม์ชีพอยู่ไม่ชอบ ขออย่าได้ทำ เพียงแต่อย่าให้เสียธรรมเนียมด้วยในเวลาเดียวกัน 

           ในช่วงสาย ทรงมีพระราชกระแสกับพระเจ้าน้องยาเธอและขุนนางทั้งหลาย ขอลา และฝากฝังพระราชโอรส และงานแผ่นดินที่ทรงเป็นห่วงให้เรียบร้อย 

ในปัจจุบัน เราสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ประกอบกิจที่ยังคั่งค้างสำคัญๆ เพื่อให้หมดห่วง รวมถึงเปิดโอกาสให้แสดงเจตจำนงที่ไม่รับการรักษาเพื่อยืดชีวิตออกไปได้ ตามกฎกระทรวง พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๒ 

 

ทรงขอขมาสงฆ์ และภาวนาเจริญสติจนสวรรคต

           ในช่วงเย็น ทรงขอขมาและลาคณะสงฆ์เป็นภาษาบาลี ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาไทยในภายหลังว่า 

           “อาพาธของดีฉันก็เจริญกล้า...ดีฉันกลัวอยู่ว่าจะทำกาลณเวลาวันนี้ ดีฉันของลาพระสงฆ์...โทษล่วงเกินได้เป็นไปล่วงดีฉันผู้พาลอย่างไร ผู้หลงอย่างไร ผู้ไม่ฉลาดอย่างไร ดีฉันผู้ใดได้ประมาทไปแล้วด้วยประการนั้นๆ ทำอกุสลกรรมไปแล้วณอัตตภาพนี้ พระสงฆ์จงรับโทษที่เป็นไปล่วงโดยความเป็นโทษเป็นล่วงจริงของดีฉันผู้นั้น เพื่อสำรวมระวังต่อไป...” 

           เราสามารถช่วยเหลือผู้กำลังจะเสียชีวิตให้ได้แสดงความรู้สึก ความต้องการ เช่น การกล่าวขอบคุณ ขอขมา สั่งเสียต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

 

           ตลอดวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงภาวนาเจริญสติด้วยพระองค์เองมาตั้งแต่เช้าตรู่ ทรงรับสั่งกับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงว่า 

           “...วันนี้เป็นวันสำคัญอย่าไปข้างไหนเลย ให้คอยดูใจพ่อ ข้ารู้เวลาตายของข้าแล้ว ถ้าข้าจะไปอย่างไรลง ก็อย่าได้วุ่นวายบอกหนทางว่าอรหังพุทโธเลย ให้นิ่งดูแต่ในใจเถิด เป็นธุระของข้าเองฯ...” 

           จนถึงช่วงพลบค่ำ พระองค์ทรงภาวนาเจริญสติจนกระทั่งเสด็จสวรรคตอย่างสงบทั้งๆ ที่มีพระอาการประชวรอย่างหนัก 

 

           ความตายย่อมมีแก่ทุกคนโดยเสมอกัน และเราทุกคนมีสิทธิที่จะตายอย่างสงบได้เช่นกัน หากว่าเราได้เตรียมตัวอย่างสมควรแล้วในยามมีชีวิตอยู่ ทัศนคติและท่าทีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ เป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ในการตระเตรียมตัวเอง และช่วยเหลือคนไข้ระยะสุดท้ายให้เผชิญความตายได้อย่างรอบด้าน ที่ช่วยให้ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์สุขภาพสามารถบูรณาการกับภูมิปัญญาทางศาสนา สังคม และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาอย่างยาวนานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในบริบทของสังคมไทย

-----

เก็บความจากบทความเรื่อง “เรียนรู้การดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย จากเหตุการณ์สวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดย รศ.นพ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี, ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๑๒ เดือนตุลาคม ๒๕๕๓

คอลัมน์:

ผู้เขียน: