Error message

  • Deprecated function: Methods with the same name as their class will not be constructors in a future version of PHP; views_display has a deprecated constructor in require_once() (line 3066 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/bootstrap.inc).
  • Deprecated function: The each() function is deprecated. This message will be suppressed on further calls in menu_set_active_trail() (line 2385 of /home/budnetorg/domains/budnet.org/public_html/sunset/includes/menu.inc).

บันทึกด้วยรักและอาลัย ดูแลเธอจนวาระสุดท้ายอย่างสงบแม้ยังไม่มีคำบอก..

-A +A

ร้อยดวงใจด้วยรักและอบอุ่น

         ในระหว่างทางของชีวิต ผู้คนทั่วไปคงจะผ่านเลยผู้ชายธรรมดา ๆ คนนี้ไปอย่างไม่ทันได้จดจำอะไร แต่สำหรับแม่...พ่อเป็นสิ่งมีค่าที่แม่จะจดจำตลอดไป

         เรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พ่อเรียนสาขาการตลาด แม่เรียนสาขาการเลขานุการ เราเริ่มสนิทกันเพราะต้องทำกิจกรรมรับน้องใหม่ด้วยกัน พ่อเป็นรองประธานฝ่ายชาย แม่เป็นรองประธานฝ่ายหญิง บุคลิกของพ่อ พูดน้อย สุขุม ใจเย็น เก็บความรู้สึก  พ่อเล่าให้ฟังว่าวันที่เพื่อนของพ่อบอกชอบแม่แล้วแม่ปฏิเสธ วันนั้นเป็นวันที่พ่อดีใจที่สุด เพราะพ่อแอบชอบแม่มานานแล้ว แต่ไม่กล้าพูดให้ใครรู้ (ตอนนี้แม่รู้แล้ว)  

         เราแต่งงานกันเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2529 เป็นพิธีแต่งงานแบบคาทอลิก พ่อเป็นผู้ชายอบอุ่น เป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมของลูก ๆ แม่เป็นผู้หญิงโชคดีที่มีสามีอย่างพ่อ ตอนคลอดลูกทั้งสองคนพ่อจะคอยดูแลแม่และลูก ๆ อย่างดี แม่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย พ่อจะเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไว้ให้ แม้แต่ตอนให้นมลูกพ่อยังต้องมีหมอนมารองใต้เข่าและหลังให้แม่เพราะกลัวแม่จะเมื่อย ตอนกลางคืนเวลาให้นมลูก พ่อก็ตื่นมานั่งเป็นเพื่อน คอยส่งโน่นส่งนี่ให้ อะไรที่เกี่ยวกับลูก พ่อจะรักษาความสะอาดอย่างมาก เช่น จะอุ้มลูกต้องล้างมือก่อนทุกครั้ง ของกินของใช้ของลูกต้องสะอาดสุด ๆ พ่อจะทำโดยไม่บ่นแม้แต่น้อย ลูกสาวคนโตจะเหมือนพ่อคือเฉย ๆ นิ่ง ๆ ลูกชายคนเล็กเป็นเด็กช่างซัก ช่างถาม พ่อก็พร้อมที่จะตอบทุกคำถามของลูก อะไรที่ไม่รู้พ่อจะไปค้นหาคำตอบมาให้ในภายหลัง ลูกชายชอบให้กอดและหอมแก้มก่อนนอน บางครั้งเราแกล้งทำเฉย ๆ  ลูกชายก็จะเดินเข้า – ออก ทำเป็นหยิบโน่นหยิบนี่ จนพ่อบอกแม่ว่าอย่าแกล้งเลยสงสารลูก แล้วก็เรียกลูกมาหอมแก้ม เมื่อลูกเดินพ้นประตูห้องไปแล้ว พ่อจะหันมาบอกแม่ว่า “ลูกเราน่ารักนะ” ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่มีความสุขมาก ๆ ครอบครัวหนึ่ง พวกเรารักกัน เข้าใจกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน เราไว้ใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราใช้ชีวิตตามอัตภาพของเรา น้องที่ทำงานยังบอกว่า “ครอบครัวพี่เป็นครอบครัวตัวอย่างสำหรับผม” 

          

ชีวิตเปลี่ยนไป

         แต่แล้วความสุขที่มีอยู่ก็หายไปจากครอบครัวของเรา วันนั้นเป็นวันที่ 9 มีนาคม 2554 เราไปกินอาหารทะเลกัน กลับมาถึงบ้านพ่อปวดท้องมากแม่จึงพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงคล้ายลำไส้ถูกบิด ปวดมวนท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด  พ่อนอนโรงพยาบาล 7 วัน เมื่อกลับมาอยู่บ้านอาการไม่ดีขึ้นและยังปวดท้องมากกว่าเดิม แม่จึงพาพ่อกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้หมอให้สวนแป้งและส่องกล้องเพื่อดูลำไส้ใหญ่ ตอนที่หมอบอกแม่ว่าต้องผ่าตัดด่วนเพราะลำไส้บวมมาก หมอสงสัยว่าก้อนเนื้อที่เห็นอาจเป็นก้อนมะเร็ง  หมออธิบายขั้นตอนการผ่าตัดว่าจะทำอะไรบ้าง แม่ฟังไม่รู้เรื่อง มันชาไปหมด ที่เคยได้ยินเขาพูดกันว่าเหมือนโลกหยุดหมุน เหมือนแผ่นดินถล่มลงตรงหน้า ความรู้สึกเป็นอย่างไรเพิ่งเข้าใจวันนั้นเอง แม่ได้แต่บอกหมอว่าจะทำวิธีไหน ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยก็แล้วกัน 

          

วอนเมตตาจากพระเจ้าที่สามีนับถือ

         ขณะที่เขาเข็นพ่อเข้าห้องผ่าตัดแม่จูบแก้มให้กำลังใจพ่อ แม่บอกพ่อว่าไม่ต้องกลัวนะผ่าตัดเสร็จแล้วก็หาย แม่จะรออยู่หน้าห้องไม่ไปไหน พ่อจับมือแม่ มองหน้าแม่ แม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าพ่อ แต่จริง ๆ แล้วแม่กลัว กลัวมาก ตอนที่เขาปิดประตูแม่รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปช่างนานแสนนาน นานกว่าทุกวันที่ผ่านมา สิ่งที่แม่ทำได้ดีที่สุดในเวลานั้นคือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิช่วยให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จและผ่านพ้นไปด้วยดี ขอให้พ่อออกจากห้องผ่าตัดในสภาพที่มีลมหายใจ และถ้าต้องจากกันจริง ๆ ก็ขอให้ได้มีโอกาสลากันก่อน แม่เป็นคนต่างศาสนากับพ่อ แต่ขณะนั้นแม่เกิดความเชื่อ แม่เชื่อว่าพระคริสตเจ้าช่วยพ่อได้ แม่จึงวอนขอพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า ขอให้ท่านช่วยให้พ่อรอดชีวิตออกมาจากห้องผ่าตัด แล้วแม่จะขอเป็นลูกของพระองค์ แม่วอนขอพระเมตตาตลอดเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ที่รอพ่อผ่าตัด แล้วแม่ก็ได้รับพระเมตตา เจ้าหน้าที่เข็นพ่อออกมาจากห้องผ่าตัดในสภาพที่มีลมหายใจ หมอบอกว่าพ่ออาการหนักมาก “หมอทำให้เท่าที่ทำได้นะ” เท่านี้ก็ดีที่สุดสำหรับครอบครัวเราแล้ว ขอบพระคุณพระเยซูเจ้า  ขอบคุณคุณหมอและทีมงานทุกท่าน

          

ยากนักที่จะบอกความจริง

         หลังผ่าตัดแม่เข้าไปดูพ่อในห้อง ICU พ่อนอนกระสับกระส่าย  ในปากมีท่อช่วยหายใจ หน้าท้องมีแผลผ่าตัดยาวตั้งแต่หน้าท้องส่วนบนจนถึงหน้าท้องส่วนล่าง แผลยาวและน่ากลัวมาก หมอนำลำไส้ของพ่อออกมาไว้บริเวณหน้าท้องด้านซ้ายเพื่อให้ขับถ่ายออกทางหน้าท้อง (ทำทวารเทียม) แม่ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ข้างเตียงพ่อ แม่สงสารพ่อ แม่อยากรับความเจ็บปวดของพ่อมาไว้กับแม่บ้าง แต่พ่อก็เก่งและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ สิ่งที่เป็นเรื่องยากในเวลาต่อมาคือการบอกอาการป่วยของพ่อ พ่อถามทุกวันว่าพ่อเป็นอะไร ผลการเพาะชิ้นเนื้อสรุปออกมาว่าพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 (มะเร็งแพร่กระจายไปยังตับและปอด) แม่ไม่กล้าบอกพ่อ ใครจะรับได้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่หมอบอกว่าควรให้ผู้ป่วยรู้ความจริงจะได้ยอมรับวิธีการรักษาที่จะตามมา แม่ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ค่อย ๆ บอกพ่อ มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่แม่ต้องทำหน้าสดชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้สึกไม่ไหวแล้ว วันที่พ่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง พ่อนิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วพ่อก็ร้องไห้ แต่งงานกันมา 26 ปี แม่เพิ่งเห็นพ่อร้องไห้ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกตอนแม่ของพ่อเสียชีวิต) พ่อคง shock และเกิดอาการชาเหมือนตอนที่หมอบอกแม่ โลกที่สดใสชีวิตที่มีความสุขมันหมดลงแล้วสำหรับครอบครัวของเรา

          

ครอบครัวลุกขึ้นสู้ 

         แม่กับลูกๆ ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรให้พ่อลุกขึ้นสู้ ไม่ท้อถอย เราเริ่มด้วยการทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกวันเราจะใส่กำลังใจให้พ่ออย่างเต็มเปี่ยม การดูแลแผลผ่าตัดและทวารเทียมของพ่อเป็นหน้าที่ของแม่ แม่ทำเองโดยไม่ต้องพาพ่อไปโรงพยาบาล แม่จะเน้นเรื่องความสะอาดของอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้กับพ่อ แม่จะล้างมือด้วยน้ำสบู่หลายๆ รอบให้สะอาดตามด้วยแอลกอฮอล์ สำหรับล้างมือ ซอกนิ้วมือและซอกเล็บก็ละเลยไม่ได้ เล็บมือต้องตัดสั้นที่สุด แหวน สร้อยข้อมือ ต้องถอดออก เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค แม้แต่ลมหายใจแม่ก็ต้องระวัง ทุกครั้งที่ทำแผลผ่าตัดและทวารเทียมให้พ่อ แม่จะใส่ MASK ปิดปาก ปิดจมูก อาการของพ่อดีขึ้นทุกวัน พ่อเริ่มทำใจยอมรับได้มากขึ้น ความสุขกลับมาสู่ครอบครัวเราอีกครั้ง  

          

พบพระเจ้าทำตามสัญญา

         แม่เริ่มทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพระเยซูเจ้า วันที่แม่บอกพ่อว่า แม่จะไปเรียนคำสอน พ่อยิ้มมีน้ำตาคลอตา แม่รู้ว่าพ่อดีใจที่แม่ทำสิ่งดีๆ เพื่อพ่อ แม่เริ่มเรียนคำสอนที่วัดอัครเทวดาราฟาแอล ปากน้ำ สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2554  เราไปวัดด้วยกันในวันอาทิตย์เพื่อร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ขณะที่คุณพ่อกล่าวว่า “ให้เรามอบสันติสุขของพระคริสตเจ้าให้แก่กันและกัน” (เป็นการมอบความรัก ความสุข ความปรารถนาดี ให้กับผู้ที่อยู่รอบตัวเรา) เราจะหันมาสวัสดีกันและยิ้มให้กัน เสร็จพิธีแล้วแม่จึงเข้าเรียนคำสอน แม่รับศีลล้างบาป เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2555 โปรดศีลล้างบาป โดย คุณพ่อยอแซฟ วิทยา ลัดลอย เจ้าอาวาสวัดอัครเทวดาราฟาแอล ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เรียนคำสอนเป็นช่วงเวลาดี ๆ ช่วงหนึ่งในชีวิตของเราสองคน เรามีความสุขที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดพระคริสตเจ้า ตอนนี้แม่เป็นคริสตชนเต็มตัวแล้วนะ

          

เป็นโอกาสเรียนคำสอน

         การเรียนคำสอนทำให้แม่มีมุมมองทางศาสนาเพิ่มขึ้น ที่กล่าวกันว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี คำพูดนี้เป็นความจริง เพราะไม่มีศาสนาใดที่สอนว่าการขโมยเป็นสิ่งที่ดี หรือการฆ่าคนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทุกศาสนามีแนวทางคำสอนที่เหมือนและสอดคล้องกัน เพียงแต่มีจุดยืนที่ต่างกัน  ตามหลักการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง   

         แสวงจุดร่วม คือ การนำเอาการปฏิบัติตามคำสอนที่เหมือนกันอันได้แก่เรื่องคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความรัก ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ การมีจิตเมตตา มาใช้เหมือนกัน 

         สงวนจุดต่าง คือ การที่จะต้องยึดถือความเชื่อและพิธีกรรมในศาสนาของตนเองไว้อย่างมั่นคง และในเวลาเดียวกันก็จะต้องเคารพในศรัทธาความเชื่อของพี่น้องในศาสนาอื่น ๆ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นกันและกัน 

         อีกสิ่งหนึ่งที่แม่คิดว่าทุกศาสนาเหมือนกัน คือเป็นที่พึ่งในยามที่คนเรามีความทุกข์ เคว้งคว้าง ท้อแท้ สิ้นหวัง ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยเฉพาะกับผู้ป่วย ศาสนาเป็นขวัญ เป็นกำลังใจ เป็นความสงบ  เป็นความหวัง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แม่เชื่อว่าทุกชีวิตถูกกำหนดมาแล้วหากถึงเวลาตายย่อมต้องตาย ไม่มีใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในความทุกข์และสิ้นหวังสิ่งที่ทุกคนต้องการคือ “ปาฏิหาริย์”

          

เมื่อรู้ความจริงที่ไม่ได้รับการบอก

         เมื่อแผลผ่าตัดหายดีแล้ว หมอให้การรักษาต่อเนื่องโดยให้เคมีบำบัด ขณะนั้นพ่ออายุ 48 ปี  9 เดือน 28 วัน หมอบอกว่าถ้าอายุมากกว่านี้หมอไม่แนะนำให้ทำเพราะไม่มีประโยชน์ แต่เห็นว่าอายุยังน้อย จึงให้ทำเพื่อยืดอายุออกไป  หมอถามว่าผู้ป่วยรู้หรือเปล่าว่าเป็นโรคอะไร ระยะไหน แม่บอกรู้ แต่บอกผู้ป่วยว่าเป็นแค่ระยะ 2 ไม่ได้บอกว่าระยะ 4  และขอความร่วมมือจากหมอให้ช่วยปิดบังพ่อด้วย หมอให้พ่อรับเคมีบำบัด 12 ครั้ง ๆ ละ 3 วัน เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2554 ถึง ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 (ทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์) อาการข้างเคียงของเคมีบำบัดที่พ่อได้รับคือหูอื้อ ชาปลายมือ ปลายเท้า น้ำหนักตัวพ่อลดลงอย่างน่าใจหาย แต่ด้วยกำลังใจและความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำให้พ่อสู้และอดทนจนการรักษาเสร็จสิ้น หมอชมว่าพ่อเก่งที่รับเคมีบำบัดได้จนครบ หมอคิดว่าจะไปตั้งแต่ยังทำได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ   

         หลังให้เคมีบำบัด ร่างกายพ่อไม่ตอบสนองต่อยา อาการของโรคที่กระจายไปยังตับและปอดค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ระยะบั้นปลายชีวิตของพ่อ แม่จะคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของพ่อเป็นหลัก แม่จะไม่สนใจว่าเซลล์มะเร็งจะลุกลามหรือแพร่กระจายไปที่ไหน แม่จะให้พ่ออยู่อย่างมีศักดิ์ศรี แม่จะให้การดูแลพ่อแบบประคับประคองที่มุ่งเน้นในการบรรเทาความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน 

         พ่อเริ่มสงสัยที่หมอไม่บอกอะไรเลย ไม่มีการให้รังสีรักษา ไม่มีการผ่าตัดรอบที่ 2 โชคดีที่หมอมีเทคนิคในการพูดกับผู้ป่วยให้คลายวิตกกังวลได้ดีมาก สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก พ่อสังเกตอาการของตัวเองแล้วนำไปเปรียบเทียบข้อมูลใน INTERNET พ่อขอให้แม่บอกความจริง หลังจากนั้นพ่อเกิดอาการไม่เชื่อ กลัว หมดหวัง วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ พ่อจะพูดเสมอว่า ทำไมต้องเป็นพ่อ หมอตรวจผิดหรือเปล่า พ่อไม่อยากตาย พ่ออยากเห็นลูกสาวรับปริญญา อยากเห็นลูกชายตอนเรียนมหาวิทยาลัย

         หลังจากรู้ความจริง พ่อจะนอนนิ่ง ๆ น้ำตาไหลแบบไม่มีเสียงร้องไห้ แม่เข้าใจว่าพ่อต้องการอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเอง ยังไม่ต้องการ การปลอบใจจากใครทั้งนั้น แม่สวดภาวนาบทอัญเชิญพระจิตเจ้า บทข้าแต่พระบิดา บทข้าพเจ้าเชื่อ บทวันทามารีย์ บทพระสิริรุ่งโรจน์ ให้พ่อฟังทุกวันจนพ่อสงบลง 

          

ดูแลอย่างประคับประคองด้วยการค้นหาความรู้และปรึกษา

         เมื่อตั้งใจที่จะดูแลพ่อแบบประคับประคอง แม่ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แม่หาซื้อหนังสือหลายสิบเล่มมาอ่านแต่แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับแม่คือการค้นหาจาก INTERNET โทรศัพท์ขอคำแนะนำจากสถาบันมะเร็ง และหนังสือที่ศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์ เขียนไว้ เช่น กินอย่างไรเมื่อเป็นมะเร็ง อยู่กับมะเร็งอย่างเป็นสุข จากมะเร็งอย่างเป็นสุข แม่จะอ่านและเตรียมตัวรับสถานการณ์ล่วงหน้า เมื่อพ่อมีอาการตามรอยโรคแม่ก็มีวิธีแก้ไข ถ้าเกินกำลังความสามารถของแม่ แม่จะพาพ่อไปโรงพยาบาล

         เมื่อหมดหวังในการรักษา สิ่งที่ดีที่สุดคือการยอมรับให้มะเร็งเป็นสมาชิกในครอบครัวของเรา แม่ให้พ่อทำสำคัญมหากางเขนที่หน้าท้องขอพระพรจากพระเยซูเจ้า และบอกกับสมาชิกใหม่ว่า เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ขอให้ดีต่อกัน อย่าทำร้ายร่างกายกัน อย่าทำให้ร่างกายนี้ต้องเจ็บปวด หมอบอกแม่ว่าพ่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน แม่จึงเริ่มเตรียมความพร้อมให้พ่อได้ตายดี คือการจากไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน

         ก่อนนอน แม่จะให้พ่อทำจิตให้นิ่งแล้วระลึกถึงพระเยซูเจ้าบนพระแท่นที่วัด บอกท่านว่าลูกจะหลับแล้ว ขอทรงปกป้องคุ้มครองลูกด้วย ขอลูกไปอยู่กับพระองค์ด้วย (เตรียมจิตวิญญาณให้พร้อมที่จะไปอยู่กับพระเยซูเจ้า) หลังจากนั้นเราจะสวดภาวนาบทอัญเชิญพระจิตเจ้า บทข้าแต่พระบิดา บทข้าพเจ้าเชื่อ บทวันทามารีย์ บทพระสิริรุ่งโรจน์ บทสารภาพบาป บทแสดงความทุกข์ บทแสดงความเชื่อ บทแสดงความหวัง บทเยซู มารีย์ โยเซฟ บททูตสวรรค์ของพระเจ้า บางวันสวดถึงบทที่ 3 พ่อก็หลับแล้ว แต่แม่ก็ยังสวดให้พ่อฟังไปเรื่อย ๆ จนแน่ใจว่าพ่อหลับสนิท ตื่นนอนตอนเช้า แม่จะให้พ่อขอบคุณพระเยซูเจ้า ที่ให้โอกาสพ่อได้ลืมตาและหายใจในวันนี้ เราตกลงกันว่าชีวิตต่อไปนี้ของเราสองคนจะไม่มีคำว่า  “พรุ่งนี้” จะมีแต่คำว่า “วันนี้” เท่านั้น  

         แม่จะเปิดเพลงพระไพเราะชุดที่  1 แล ะ 2 ให้พ่อฟังทุกวัน เพราะมีเพลงที่ใช้ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณอยู่ด้วย พ่อจะนอนฟังแล้วเอามือประสานกันไว้ที่หน้าอก สีหน้าผ่อนคลายดูมีความสุข สงบ  เพลงทั่ว ๆ ไปแม่ก็เปิดให้พ่อฟัง แต่มีอยู่เพลงหนึ่งที่พ่อฟังแล้วจะมองหน้าแม่แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่พูดอะไรเลย (แม่ไม่อยากให้พ่อฟังเพลงเศร้า ๆ แต่เพลงนี้มันใช่สำหรับเรา...อยากหยุดเวลา...) 

         “ฉันเริ่มจะใจหายเมื่อมองฟ้าไกล ฟ้าใกล้จะรุ่งสางเริ่มมีแสงรำไร รู้ว่าใกล้เวลาจากกันแสนไกล หัวใจเริ่มสลายแต่จะทำเช่นไร อยากจะร้องไห้ อยากให้เวลาเดินช้า ๆ ขอเวลาสักหน่อย อยากมองหน้ากัน อยากหยุดวันเวลานี้ไว้ นานเท่านาน ก่อนจะต้องไป...” 

         พ่อคงอยากหยุดวันเวลาเพื่อพวกเราจะได้ไม่พรากจากกัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ พ่อเริ่มมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง นอนหลับตอนกลางวันมากขึ้น ท้องบวม แข็งและตึงมาก แน่นอึดอัดท้องมาก หายใจได้ไม่ลึก คอแห้ง หิวน้ำบ่อย เบื่ออาหาร อยากกินแต่ของหวาน ๆ  พ่อไม่ยอมนั่งรถเข็นเวลาไปหาหมอ หมอถามพ่อว่าเหนื่อยมากใช่ไหม พ่อพยักหน้า หมอบอกคราวหน้าไม่ต้องให้พ่อมาแล้วให้แม่มารายงานอาการคนเดียว หมอบอกแบบนี้แม่ก็รู้แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น    

          

ฝึกทักษะดูแลด้วยตนเอง

         แม่ติดต่อโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ และสายด่วนให้คำปรึกษาทางจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย ของเครือข่ายพุทธิกาเพื่อขอเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เครือข่ายพุทธิกาจะจัดร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่น  โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมีสหสาขาวิชาชีพเข้าร่วม เช่น แพทย์  พยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วย ตลอดจนอาสาสมัคร เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจและต้องการนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วย น่าเสียดายที่การอบรมเพิ่งเสร็จสิ้นไปและยังไม่มีโครงการที่จะจัดในเร็ววันนี้ 

         เมื่ออาสาสมัครของสายด่วนให้คำปรึกษาฯ ทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาการของพ่อ ได้กรุณาจัดส่งหนังสืออาทิตย์อัสดง จดหมายข่าวการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ปีที่2 ฉบับที่6 ประจำเดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2553 ช่วงขณะสุดท้ายของชีวิต:  ภาวะร่างกายและการดูแล และส่ง CD เกี่ยวกับการเตรียมตัวให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบที่บ้าน ส่วนหนังสือจะบอกเล่าถึงช่วงขณะสุดท้ายของชีวิต:ภาวะร่างกายและการดูแล เมื่ออ่านหนังสือและดู CD แล้ว รู้สึกเหมือนได้พบแสงสว่างในความมืด แม่ตัดสินใจว่าเมื่อถึงเวลาที่พ่อต้องจากไป แม่จะให้พ่อเสียชีวิตที่บ้านของเรา พ่อจะได้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ในบ้านของเรา

          

การเตรียมวาระสุดท้ายของสามี

         แม่เรียกลูก ๆ มารับรู้อาการของพ่อและเตรียมตัวในการส่งพ่อขึ้นสวรรค์ หากวันนั้นมาถึงต้องตั้งสติ สงบ อย่าตื่นเต้นตกใจ อย่าร้องไห้ฟูมฟาย อย่าทำให้พ่อตกใจ สวดภาวนานำทางพ่อให้ดี

         28 ตุลาคม 2555 พ่อมีอาการท้องบวมและตึงมากทำให้แน่น หายใจไม่สะดวก หายใจหอบ เหนื่อย แม่พาพ่อไปโรงพยาบาล หมอเจาะเอาน้ำในท้องออก (ครั้งที่ 1) อาการพ่อทรุดลง เนื่องจากการสูญเสียโปรตีน และอาการของโรคที่เริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียลงมาก 

         10 พฤศจิกายน 2555 พ่อมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก แม่ใส่ออกซิเจนให้พ่อแล้วรีบโทรศัพท์ตามรถพยาบาล เวลา 12.30 น. ขณะนำพ่อขึ้นรถ พ่อหันมาบอกลูก ๆ ว่า “เดี๋ยวพ่อกลับมา ๆ ไม่ต้องกลัว” หมอเจาะน้ำในท้องออก (ครั้งที่ 2) ตอนแรกคิดว่านอนโรงพยาบาล 2 คืน ก็คงได้กลับบ้านเหมือนคราวที่แล้ว  แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน หมอบอกว่าพ่อคงอยู่ได้ไม่เกินวันเสาร์ที่  17  พฤศจิกายน 2555 คราวนี้ความรู้สึกยิ่งกว่าตอนหมอบอกว่าพ่อเป็นมะเร็ง ทำยังไงดี เรายังไม่ได้กล่าวลากันเลย แม่จะบอกพ่อยังไงว่าพ่อกำลังจะตาย ถ้าบอกให้พ่อรู้พ่อจะเป็นยังไง ที่ผ่านมาแม่เตรียมตัวสำหรับการจากไปของพ่อ โดยที่พ่อไม่เคยรู้ตัวมาก่อน แม่รู้ว่าพ่อรับไม่ได้ ถ้าพ่อรู้พ่อคงจากพวกเราไปก่อนหน้านี้แล้ว พ่ออยู่มาได้ทุกวันนี้ เพราะความรัก ความหวังและกำลังใจที่พวกเรามีให้กันอย่างเต็มเปี่ยม

         แม่ขอพาพ่อกลับมาเสียชีวิตที่บ้าน หมอไม่เห็นด้วย เพราะเมื่อใกล้เสียชีวิตผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาการปวด (ต้องให้มอร์ฟีน)   แม่ติดต่อกลับไปยังสายด่วนให้คำปรึกษาฯ เครือข่ายพุทธิกาเพื่อขอคำแนะนำในการพาพ่อกลับมาเสียชีวิตที่บ้าน แต่น่าเสียดายที่ทางเครือข่ายฯไม่มีบุคลากรที่จะเข้ามาดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง (ต้องมีสหสาขาวิชาชีพเข้ามาดูแล เช่น แพทย์ พยาบาล) แม่รู้สึกเหมือนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพ่อในวาระสุดท้ายที่บ้าน แต่แรงบันดาลใจนั้นขาดการสนับสนุน ทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป)

          

มอบชีวิตให้คนรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

         พ่อบอกแม่ว่า “ชีวิตพ่อ พ่อมอบให้แม่ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่แม่” พ่อไม่ต้องห่วงนะ แม่จะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับความไว้วางใจที่พ่อมีให้แม่ พ่อกลัวเรื่องใส่ท่อช่วยหายใจ พ่อบอกว่าเมื่อคราวผ่าตัดพ่อทรมานมาก แม่จะไม่ให้เขาทำอย่างนั้นกับพ่ออีก เฉพาะก้อนมะเร็งในท้องก็เกินพอสำหรับพ่อแล้ว ตอนอยู่บ้านพ่อชอบมองหน้าแม่  แม่ถามว่ามองทำไม พ่อจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ขณะป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลพ่อบอกแม่ว่า ที่เคยถามว่ามองหน้าแม่ทำไม “พ่อมองเพื่อจะจดจำแม่เอาไว้ แล้วจะชดใช้ให้ในชาติหน้า”สำหรับพ่อนั่นอาจเป็นการกล่าวลา แต่สำหรับแม่ แม่ไม่กล้ากล่าวลาพ่อ จริง ๆ แล้วคนที่รับไม่ได้อาจไม่ใช่พ่อแต่เป็นตัวแม่เอง 

          

เลือกตายอย่างธรรมชาติที่โรงพยาบาล

         แม่บอกหมอขอให้พ่อสิ้นใจตามธรรมชาติของโรค โดยไม่มีการรักษาทางการแพทย์ที่ยื้อความตาย  แม่ทำเอกสารให้โรงพยาบาลแจ้งวัตถุประสงค์ไม่ใส่สายให้อาหาร ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ปั้มหัวใจหากมีการหยุดหายใจ เพราะแม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีแต่เพิ่มความทุกข์ทรมานสำหรับผู้ป่วยที่ใกล้สิ้นชีวิต  

         เมื่อกลับมาเสียชีวิตที่บ้านไม่ได้ แม่ก็ทำโรงพยาบาลให้กลายเป็นบ้านของเรา โดยให้ลูกถ่าย VDO และถ่ายภาพส่วนต่างๆ ของบ้านไปให้พ่อดู เปิดเพลงพระให้พ่อฟัง แม่บอกลูกให้ทำตัวเหมือนอยู่บ้าน เช่น บอกให้ขึ้นไปหยิบของบนห้องนอนให้ที แล้วบอกพ่อว่าตอนนี้เรากลับมาอยู่บ้านเราแล้วเวลาหมอและพยาบาลเข้ามาดูอาการ แม่จะบอกพ่อว่าหมอเป็นห่วงเลยตามมาเยี่ยมที่บ้าน (ตอนนั้นพ่อจะเบลอ ๆ จำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน)

          

รับศีลแบบปฏิบัติของคริสตชน

         สิ่งสำคัญในชีวิตคริสตชนที่อยู่ในอันตรายว่าจะเสียชีวิต ต้องได้รับศีลเจิมคนไข้ (เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของคริสตชนที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากอันตรายฝ่ายวิญญาณคือทำให้หลุดพ้นจากบาป อีกทั้งยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะบันดาลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้น)  แม่เชิญคุณพ่อวิทยา ลัดลอย มาโปรดศีลเจิมคนไข้และศีลมหาสนิท (เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ คริสตชนทุกคนต้องรับเพราะเป็นการรับองค์พระเยซูเจ้าเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ทำให้เรามีชีวิตพระ คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์) พ่อพูดไม่ได้และจะนอนนิ่ง ๆ ตลอดเวลา เมื่อจะปลุกให้ตื่นต้องมีการกระตุ้น แต่วันที่คุณพ่อมาโปรดศีล พ่อลุกขึ้นนั่งและรับรู้ทุกอย่าง ตอนคุณพ่อจะกลับพ่อยังเปล่งเสียงออกมาว่า “ไปส่งคุณพ่อ” 

         หมอบอกว่าพ่อโชคดีที่ไม่มีอาการปวดหรืออาเจียนเหมือนคนอื่น ๆ ตอนที่พ่อยังรู้สึกตัวอยู่ หมอกับพยาบาลมาถามวันละ 2 รอบ ว่าปวดไหม เอายาไหม  พ่อจะบอกว่า ไม่ปวดครับ ไม่เอาครับ หมอบอกแม่ว่าหมอสั่งมอร์ฟีนให้แล้ว ถ้าปวดเมื่อไหร่ให้รีบบอกพยาบาล  แต่พ่อก็ไม่มีอาการปวดใด ๆ ทั้งสิ้น  พ่อค่อย ๆ หมดความรู้สึกไปเรื่อย ๆ

          

ดูแลช่วงขณะหลังตาย  

         เวลาประมาณ 06.00 น. ของวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 แม่กับผู้ช่วยพยาบาลช่วยกันทำความสะอาดและเปลี่ยนชุดที่แม่เตรียมมาให้พ่อ ปกติตอนเช้าแม่จะให้พ่อนอนหงาย แต่วันนี้แม่จับพ่อนอนตะแคงข้างซ้าย แม่บอกพ่อว่าหมอให้กลับบ้านได้แล้ว พ่อคงรับรู้และดีใจ

         เวลาประมาณ 08.00 น. แม่ทำความสะอาดภายในช่องปากให้พ่อ สำลีทำความสะอาดที่หยิบมาหมด แม่จึงเดินออกมาอีกฝั่งเพื่อหยิบสำลีและชุบน้ำอุ่น เมื่อเดินย้อนกลับมา บริเวณข้างปากพ่อมีน้ำลายปนเลือดไหลออกมา (เวลา 14 วัน เราผลัดกันนั่งเฝ้าพ่อตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้คลาดสายตาเพราะไม่รู้ว่าพ่อจะจากไปตอนไหน แต่เมื่อถึงเวลาที่พ่อจากไปจริง ๆ  พ่อกลับไม่ให้พวกเราเห็น) แม่ปลุกลูก ๆ ที่เพิ่งเข้านอนเมื่อเวลา 5.00 น. บอกลูกว่า “พ่อไปแล้ว” 

         ตอนแรกลูกทำท่าจะร้องไห้ แม่บอกอย่าร้อง เราต้องส่งพ่อให้ดี ๆ แม่ให้ลูกกราบเท้าพ่อ ตั้งสติ ทำจิตให้สงบนิ่ง สวดบทภาวนา บทข้าแต่พระบิดา บทวันทามารีย์ วอนขอพระเมตตาจากพระเยซูเจ้าโปรดรับดวงวิญญาณของพ่อไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ แม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดห้องเห็นอาการพวกเราก็รีบวิ่งไปเรียกพยาบาล พยาบาลบอกเวลาตายของพ่อ แม่สมองตื้อ หูอื้อ รู้อย่างเดียวว่าต้องส่งพ่อให้ดีที่สุด  ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา มีหมออีกท่านหนึ่งมาตรวจเพื่อยืนยันการตายของพ่อ เมื่อตรวจเสร็จ     หมอมองหน้าแม่     พยักหน้า     แล้วหมอก็เดินจากไป

          

พ่อจากไปเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา 08.51 น.  ด้วยอายุ 50 ปี 2 เดือน 23 วัน

          

พ่อเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดที่พระเจ้าประทานให้แม่

แม่สัญญานะพ่อ...  ต่อไปแม่จะดูแลกายและใจของแม่ดี ๆ ไม่ทำให้พ่อต้องเป็นห่วง

แต่เวลานี้...แม่อยากอยู่นิ่ง ๆ อยากอยู่กับพ่ออย่างนี้ไปก่อน

          

         ขอบคุณ คุณพ่อวิทยา  ลัดลอย เจ้าอาวาสวัดอัครเทวดาราฟาแอล ปากน้ำ สมุทรปราการ ที่ช่วยดูแลด้านจิตวิญญาณของพ่อ ให้ได้ไปอยู่กับพระคริสตเจ้า

         ขอบคุณ แพทย์ พยาบาลและทีมงานทุกท่านที่ช่วยดูแลพ่อ

         ขอบคุณ สายด่วนให้คำปรึกษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย 086-0022302 เครือข่ายพุทธิกา ที่เป็นแรงบันดาลใจในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้าน

         ขอบคุณ หนังสืออาทิตย์อัสดง ที่ช่วยให้การเตรียมการจากไปอย่างสงบ ประสบความสำเร็จ

         ขอบคุณ หนังสือจากมะเร็งอย่างเป็นสุข ที่ทำให้รู้อาการต่าง ๆ ล่วงหน้า ทำให้ไม่วิตกกังวลจนเกินเหตุ และสามารถแก้ไขในเบื้องต้นได้

         ขอบคุณ INTERNET แหล่งความรู้ที่ไม่มีขอบเขต

                        

สรุป อาการสามี (วิสุทธิ์  พัฒนวีรมงคล)  : มะเร็งลำไส้

ระหว่างวันที่ 13 – 26 ตุลาคม 2555

  1. ปวดศีรษะแบบมึน ๆ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 
  2. ท้องบวม แข็ง และตึงมาก นอนตะแคงข้างแทบไม่ได้ ต้องนอนหงายตลอด ผู้ป่วยบอกว่าแน่นในท้องมาก อึดอัดมาก เหมือนท้องจะแตก ร้อนในท้อง (ผิวหนังหน้าท้องร้อน) บางวันมีอาการปวดท้องบ้างเล็กน้อย (ส่วนใหญ่จะแน่นอึดอัดทำให้นอนไม่หลับ) 
  3. เท้าบวม ตึง ทั้งสองข้าง
  4. หายใจได้ไม่ลึก เหนื่อยมาก ไม่มีแรง ขึ้นบันไดแล้วจะเหนื่อยมาก ยกเท้าไม่ขึ้น การช่วยเหลือตัวเองทำได้น้อยมาก ยืน นั่ง ก็เหนื่อย (ส่วนใหญ่จะนอนอยู่บนเตียง)
  5. มีอาการปวดบริเวณกระดูกกลางก้นด้านหลัง นั่งนาน ๆ จะเจ็บก้น
  6. ลิ้นเป็นฝ้าขาว หูอื้อมาก
  7. คอแห้ง หิวน้ำบ่อย อยากกินแต่ของหวาน ๆ กินข้าวได้น้อยลง  
  8. ปัสสาวะเป็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ปัสสาวะไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ปัสสาวะเสร็จแล้วยังมีหยดๆ อยู่ (เมื่อก่อนไม่เป็น)
  9. กินอาหารหรือน้ำจะมีเสียงโครกครากดังในท้องแล้วตามด้วยเสียงออกทางทวารเทียม (เมื่อก่อนไม่เป็น)
  10. ลำไส้ที่เป็นทวารเทียมบวมมาก และบริเวณรอบๆ ทวารเทียมยื่นออกมา (เมื่อก่อนไม่เป็น)
  11. มีอาการปวดทวาร(ทวารจริง)เหมือนจะถ่าย แต่ไม่ถ่าย (เคยเป็นเมื่อตอนผ่าตัดทำทวารเทียมใหม่ ๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการ เพิ่งมาเป็นอีกครั้งประมาณ1อาทิตย์ที่ผ่านมา)

          

ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน 2555 

  1. ท้องบวม แข็ง และตึงมาก  ขาข้างขวาบวมกว่าขาข้างซ้าย แต่เท้าบวมทั้งสองข้าง มือแขนไม่บวม แน่นหน้าอกหายใจไม่สะดวก หายใจหอบ เหนื่อย ต้องส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล (ยังพอเดินได้)  
  2. ได้รับการเจาะท้อง (เจาะน้ำสีเหลืองออก 2,000 ซีซี) หลังเจาะท้องตอนกลางคืนมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและศีรษะมาก นอนไม่หลับตลอดคืน หลังเจาะท้องช่วยเหลือตัวเองได้น้อยมาก เวลานั่งต้องพยุงให้นั่ง (ทรงตัวในการนั่งพอได้) แต่ทรงตัวในการยืนไม่ได้เลย ใช้ชีวิตอยู่บนเตียงนอนตลอด 24 ชม. (แปรงฟัน ทานข้าว ด้วยตัวเองได้) 
  3. กระดูกกลางก้นโปน มีรอยแดง เจ็บมาก ลักษณะเหมือนเป็นแผลกดทับ (สลับให้นอนหงายตะแคงซ้าย – ขวา)
  4. ตอนกลางคืนพูดไม่ชัด จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้าง (อาการเหมือนลิ้นแข็ง) ตอนกลางวันจะพูดได้ชัดขึ้น (เป็นแบบนี้ทุกวัน)
  5. มีจุดจ้ำเลือดขึ้นบริเวณหน้าท้องส่วนบนและต้นขาซ้าย
  6. หูอื้อมากกว่าเดิม (นั่งจะอื้อมาก หายใจลำบาก)
  7. ในช่องปากแห้ง หิวน้ำบ่อย อยากกินแต่ของหวาน ๆ กินข้าวได้น้อยมาก  
  8. ปัสสาวะสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ (สีคล้ำมาก) ปัสสาวะวันละ 2 – 3 ครั้ง ๆ (ครั้งละ 150 – 200 ซีซี)
  9. มีลมออกทางทวารเทียมเยอะมาก ปล่อยออกวันละ 3 – 4 ครั้ง (โป่งเต็มถุง)
  10. บางวันมีอาการตาลอย หลับ ๆ ตื่น ๆ บางทีกำลังคุยอยู่ก็ผล็อยหลับสักพักก็ตื่น (กลางวันหลับได้มากกว่ากลางคืน)

บันทึกช่วงดูแลสามี โดยภรรยา ..สุภาวดี  พัฒนวีรมงคล

 

ที่มา: