ในทางพุทธศาสนา บุญทำได้ ๓ ระดับ
ระดับแรก เรียกว่า ทาน เป็นเรื่องของการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น
จะช่วยเหลือใครก็แล้วแต่ อันนั้นถือว่าเป็นทานได้ทั้งนั้น
ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วยการให้เงิน เราช่วยด้วยการสละเวลา ด้วยการสละกำลัง ก็เป็นบุญแล้ว
บางทีคนไปเข้าใจว่า ทานนี่ ต้องให้แก่คนขอทาน หรือทานนี่ ต้องหมายถึงสังฆทานเท่านั้น ถึงจะเป็นบุญ ไม่ใช่
การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ตลอดจนการตอบแทนผู้มีพระคุณ เช่น พ่อ แม่
หรือว่าการบูชาคุณครูบาอาจารย์ หรือว่าการอุปถัมภ์ค้ำจุนพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นทาน
เป็นบุญในส่วนแรก คือการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
ส่วนระดับที่ ๒ คือการประพฤติปฏิบัติ เรียกว่า ศีล ก็คือมีความสุจริต การทำการงานอย่างสุจริต
แต่บางครั้งแม้จะทำงานทำการด้วยความสุจริตแล้ว
บุญก็ยังไม่ครบถ้วนเพราะว่ายังไปเบียดเบียนผู้อื่นด้วยการคิดร้าย หรือว่าระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น
อันนี้เป็นการเบียดเบียนซึ่งทำให้ศีลไม่ครบถ้วน
เพราะฉะนั้น นอกจากการทำการงานด้วยความสุจริตแล้ว
เราก็ต้องไม่คิดที่จะเบียดเบียน หรือไม่กระทำการใดที่เบียดเบียนผู้อื่น แม้แต่เพียงด้วยวาจา
ทีนี้บางคนทำการงานด้วยความสุจริตแล้ว ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจา ไม่ระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น ด้วยความเป็นคนเจ้าอารมณ์แล้ว
แต่ก็ยังอาจจะหมกมุ่นอบายมุข ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเล่นการพนัน ชอบเล่นหวย
อันนั้นก็ยังเป็นบุญที่ครบถ้วนไม่ได้ ต้องครบ ๓ อย่าง
คือทำการงานด้วยความสุจริต ไม่คดโกง ไม่คิดเอาเปรียบเบียดเบียนใคร แม้แต่ด้วยวาจา
แล้วก็ดำเนินชีวิตโดยไม่ไปหลงอยู่ในอบายมุข อันนี้ถึงจะเป็นบุญที่ครบถ้วนในฝ่ายศีล
ถ้าหากเราทำ ๓ อย่างนี้ได้ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ให้รู้ไว้ว่า นี่ก็เป็นบุญ
บุญประการที่ ๓ คือการทำข้างใน คือจิตใจของตัวเอง ให้เกิดความสงบ ให้มีปัญญา
เวลาทำงานทำการด้วยสติ ทำแล้วเกิดสมาธิ มีความขยันหมั่นเพียร
นี่ก็คือการฝึกฝนจิตใจ ที่ทางพระเรียกว่า ภาวนา ก็เป็นบุญอีกเหมือนกัน
ถ้าเรามีอุบายในการทำจิตไม่ให้โกรธ เวลากระทบกับสิ่งที่ไม่พึงพอใจ มีคนมาด่า มีคนมาว่า
หรือประสบการพลัดพราก การสูญเสีย เหล่านี้แล้วประคองจิตไว้ให้เป็นปกติ ไม่เศร้าโศกเสียใจ รู้จักปล่อย รู้จักวาง
รู้จักมองในแง่ดีว่า สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ ช่วยฝึกฝนให้เรามีความเข้มแข็ง ให้เราเกิดปัญญา
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นภาวนาได้เหมือนกัน ถือว่าเป็นบุญอีกอย่างหนึ่ง
- พระไพศาล วิสาโล
( www.visalo.org )